สมัยนี้มีฟอนต์แจกฟรีให้เลือกใช้กันหลากหลายมากเลยใช่มั้ยล่ะคะ ตัวเลือกเยอะขนาดนี้หลายๆคนก็คงจะเจอปัญหา “ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ฟอนต์อะไรดี” กันมาบ้าง
วันนี้เราก็จะขอแชร์เทคนิคการเลือกใช้ฟอนต์ให้เหมาะกับเว็บไซต์และคอนเทนท์ให้ดูดี อ่านง่าย ช่วยให้ผู้เข้าชมอยากกลับมาอ่านเว็บเราอีกค่ะ เลือกฟอนต์ดี อ่านง่าย ใครๆก็ชอบใช่มั้ยล่ะคะ
แต่ว่าอันดับแรกนั้น เรามาทำความรู้จักกับฟอนต์ประเภทต่างๆกันก่อนดีกว่ มาดูกันเลย!
ฟอนต์ตระกูล Serif – มีหัว ที่ตัวมีขา
ถ้าในภาษาอังกฤษ ฟอนต์แบบ Serif จะมีเชิง ซึ่งจะทำให้อ่านยากถ้าเอามาใช้เขียนบทความยาวๆ เพราะเจ้าหางเยอะๆพวกนี้จะทำให้ล้าสายตาได้ง่าย ต้องตั้งใจอ่านมากๆ แต่ในภาษาไทยแล้ว ฟอนต์แบบ Serif จะเป็นแบบมีหัวกลมๆถูกต้องตามหลักที่เรียนกันในชั้นเรียน ซึ่งจะช่วยให้อ่านง่ายกว่าฟอนต์แบบที่ไม่มีหัว คือมีแต่เส้นเล็กๆนั่นเอง
ส่วนวิธีการเลือกใช้ฟอนต์ Serif นั้น ส่วนใหญ่จะเหมาะกับข้อความสั้นๆ อย่างเช่นการเน้นย่อหน้าสั้นๆซักย่อหน้าเดียว หรือเอาไปใช้เป็นส่วนหัวข้อ และในงานออกแบบฟอนต์นี้จะให้ความรู้สึกที่ดูค่อนข้างเป็นทางการ จริงจัง มีสาระ โบราณหน่อยๆ หรือดูโออ่ายิ่งใหญ่ค่ะ
ฟอนต์ตระกูล Sans-Serif – ไร้หัว ไร้ขา
ในภาษาฝรั่งเศษ Sans จะแปลว่า “ปราศจาก, ไม่มี” ซึ่งก็คือฟอนต์ที่ออกแบบมาไม่มีเชิง หรือในภาษาไทยก็จะไม่มีหัวกลมๆ มีแต่เส้นล้วนๆ ซึ่งก็จะให้ความรู้สึกโมเดิร์นกว่า ดูทันสมัย ถ้าเป็นฟอนต์ภาษาอังกฤษในบทความที่ยาวๆ มีตัวหนังสือเรียงกันเป็นพืดล่ะก็ ขอแนะนำให้ใช้ฟอนต์ Sans-Serif จะดีกว่า แต่ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงต้องดูกันที่ตัวฟอนต์ล่ะค่ะว่าออกแบบมาได้อ่านง่ายมากน้อยแค่ไหน เพราะตัวหนังสือภาษาไทยที่ไม่มีหัวกลมๆนั้นออกจะไม่ค่อยชินตากันซักเท่าไหร่ อาจจะทำให้บทความของเราดูอ่านยากได้ค่ะ
ในส่วนของการออกแบบนั้น ฟอนต์แบบนี้จะให้ความรู้สึกที่ทันสมัย มีลูกเล่น เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น หรือเด็กรุ่นใหม่ คนหัวสมัยใหม่ ไม่วุ่นวาย หรือใช้ในงานมีความเป็น Minimalism ค่ะ
ฟอนต์แบบ Cursive – วาดลวดลายลูกเล่นเยอะ
ในส่วนของฟอนต์อย่างสุดท้ายที่เอามาฝากกันนั้นคือ Cursive ซึ่งจะมีลูกเล่นเยอะค่ะ อย่างเช่นฟอนต์ที่ดูเหมือนเส้นการ์ตูนหน่อยๆ ฟอนต์ที่ดูเหมือนฟองสบู่ ฟอนต์ธีมตัวตลก หรือไม่ก็ฟอนต์ที่ดูเหมือนลายมือคนเขียนมากๆ หรือฟอนต์ตัวเขียนในภาษาอังกฤษ
ซึ่งก็สร้างความน่าสนใจและดึงดูดสายตาได้ดีสุดๆไปเลยล่ะค่ะ แต่สำหรับฟอนต์ชนิดนี้เหมาะแก่การเขียนหัวข้อหรือข้อความที่สั้นๆเท่านั้น ไม่เหมาะจะเอาไปใช้กับบทความยาวๆเพราะจะทำให้ลายตากับลูกเล่นเยอะๆของตัวหนังสือแต่ละตัวนั่นเอง
อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าฟอนต์เดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกเยอะเหลือเกิน แล้วครั้นจะใช้แค่ฟอนด์เดียวเว็บก็จะดูจืดชืด งั้นเราจะจับฟอนต์อะไรมาเข้าคู่กับฟอนต์อะไรมันถึงจะไปกันได้ดีล่ะเนี่ย เราก็มีตัวช่วยจะมาทำให้การ Mix & Match ทำได้ง่ายขึ้นมาฝากกันด้วยค่ะ นั่นก็คือเว็บไซต์ http://fontpair.co/ ที่จะจับคู่ฟอนต์ต่างๆตามประเภทที่ได้บอกไปข้างบนมาให้เราได้ดูเป็นแนวทางการเลือกใช้ จัดว่าสะดวกและประหยัดเวลาสุดๆไปเลยล่ะ
ยังไงก็ทดลองใช้ ปรับเปลี่ยนพลิกแพลง และประยุกต์หาแนวทางที่คิดว่าใช่และเหมาะสมกับเว็บไซต์ที่กำลังทำอยู่ให้ได้มากที่สุด แล้วมันก็จะออกมาดีเองค่ะ